ความเข้าใจเรื่องพื้นฐานเรื่องเครื่องยนต์เครื่องยนต์ถูกออกแบบมาจากการถอดแบบเทคโนโลยีของการสร้าง Engine Lab ของรถแข่ง  โดยที่ลดค่าพิกัดต่างๆลง  เพื่อความคงทน  เพื่อลดการสึกหรอ  เพื่ออายุการใช้งาน  เพื่อลดการดูแลรักษา  เพื่อเชิงการค้า  เพื่อความได้เปรียบของการช่วงชิงตลาดของคู่แข่ง    จากการทดลองทดสอบการทำงานหลายๆอย่าง   ทั้งภาคทฎษฎีและปฏิบัตินั้น  บางครั้งอาจจะไม่ตรงกันเสมอไป  แต่ก็ไม่ได้ต่างกันชัดเจนจากการคำนวณเท่าไหร่  เพราะตัวแปรหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น  ความสึกหรอของเครื่องยนต์ อายุการใช้งาน  การดูแลรักษา  ความพร้อมของ engine temp ในการใช้งานทุกครั้ง   และความไม่บันยะบันยังของผู้ใช้งาน   ทำให้ค่าในกระดานทดสอบหรือค่าแนะนำ  สูงกว่าค่าที่เล่นกันจนเครื่องยนต์หลุดกระจายเป็นชิ้นๆ (สาเหตุอาจมาจากแรงม้าเหลือเฟือ เลยพยศดีดเครื่องจนกระจายก็ได้)
เมื่อเครื่องยนต์เชิงพานิชออกสู่ตลาดผู้บริโภค  แฝงด้วยกำไรและ margin อะไรก็ตามอย่าเพิ่งไปสนใจหรือนำประเด็นมาถกเถี่ยงกัน ว่าซื้อรถราคาเป็น  ล้าน  ทำไมได้มาแบบนี้     ถ้าคิดดีๆมันก็แค่  10 กว่าแสนเองนะครับ    มาสนใจในสิ่งที่เราเลือกมาแล้วดีกว่า   ว่าสามารถต่อยอดอะไร ได้อย่างไร  กันบ้าง
เมื่อเราจะเอารถมาเสริมพลังให้เครื่องยนต์  ก็คือการเพิ่มกำลังให้รถ  การเพิ่มการทำงานให้เครื่องยนต์  การบังคับให้รถทำงานหนักขึ้น   เพื่อหวังเอาท์พุท ที่ได้มาคือความแรง    แต่แปลกทำไมไม่หวังเอาท์บาว  กันบ้างเลย (เอาท์พุท = ผลลัพท์ , เอาท์บาว = ผล+ประสิทธิภาพ ) ดังนั้นการจะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์นั้นสามารถดึงค่าเซฟตี้กลับมาใช้งานได้  แต่ควรเหลือเผื่อไว้บ้าง   และการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์นั้นให้เน้นไปที่อุปกรณ์(hardware)และการควบคุมคู่กันไป   อย่าไปเน้นอย่างไดอย่างหนึ่งมากเกินไป  เพราะความง่ายของการตกแต่งบางอย่างเช่นเปลี่ยนการควบคุมของระบบนั้นทำได้ไม่มากเท่าไหร่   สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการเปลี่ยน hardware ให้รองรับ   แต่การทำแบบแรกมักสร้างผลกำไรให้ง่ายกว่าการจับประแจรื้อเครื่องยนต์  ที่อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าใส่กล่องเทพต่างๆ     ไม่ต้องแปลกใจอะไรหรอกว่าทำไมร้านค้ามักไม่พูดทำนองนี้   เพราะถ้าพูดไปก็ต้องเปลี่ยนป้ายร้านค้าเป็นชมรม  โรงเรียน หรือศูนย์ช่วยเหลือฯ    แล้วของที่วางอยู่ในร้านจะไปขายใครล่ะทีนี้  
 การที่เราให้เครื่องทำงานมากขึ้น  ก็คือการเพิ่มความสิ้นเปลืองและเพิ่มความร้อนจากการทำงานที่มากขึ้นของเครื่องยนต์นั่นเอง  ฉะนั้นหากเราจะเพิ่มการทำงานของเครื่องยนต์แล้วนั้น    เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเพิ่มไปถึงจุดไหน  เพิ่มได้เท่าไหร่   ตรงไหนคือจุดพัง   แล้วในการเพิ่มแต่ละครั้งตรวจวัด ปรับค่ากันด้วยอะไร    ให้โปรดคำนึงถึงสิ่งพวกนี้เป็นหลัก    หากเป็นรถเราเองจะใช้วิธีจูนจนชิ้นนั้นพังแล้วบอกว่านี้คือจุดสูงสุด  ก็ไม่น่าจะใช่เพราะหลายอย่างมีองค์ประกอบที่กล่าวมาแล้ว    จะบอกว่ารู้สึกว่ามันแรงกว่าเดิมหรือวัดด้วยปลายรองเท้า  ก็ต้องดูอีกว่าช่วงที่วัดกลางวันหรือกลางคืน   ความหนาแน่นของอากาศต่างกันไหม   พื้นรองเท้าหนาบางไม่เท่ากัน   สุดท้ายก็ต้องพึ่งเครื่องวัดหรือไปยืนหน้าสลด  จ่ายตังค์หน้าไดโนเทสนั้นแหละ   ถึงจะรู้      หรือได้ข้อมูลลับจากที่ไหนสักที่ว่าค่าที่ได้มานี้เป็นค่าที่ทดสอบมาแล้วจากการทดลองจริง  พังจริง  ก็อาจจะไม่มีใครเชื่อว่าจาก 100 คนจะเชื่อถึง 80 คนหรือป่าว    แบบนี้ก็ต้องพิจารณาจากข้อมูลที่จะแชร์ให้อีกครั้ง  ก็แล้วกัน   ถึงบอกว่าอ่านผ่านๆอย่าท่องจำแต่ให้เข้าใจ
คำถาม :  การแต่งเครื่องยนต์   ให้มีแรง   ให้มีกำลัง  ให้อัตราเร่งดี   กินน้ำมันไหม  ?
?
ตอบง่ายๆ  :   โอ่กินแน่นอนครับ ! ( แต่กินสั้น )
Note : รถที่แต่งจนมีกำลังและอัตราเร่งดี   สามารถใช้เชื้อเพลิงได้คุ้มค่ากว่าเมื่อวิ่งทางยาวและความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่อเนื่อง    , แต่หากใช้ในเมืองต้องระวังอย่าเร่งบ่อย เพราะความรวดเร็วรุ่นแรงที่ได้มา  ต้องแลกกับน้ำมันที่เผาทิ้งไปเสมอ , ฉะนั้นต้องเรียนรู้รถ  เรียนรู้เครื่องยนต์   และเรียนรู้วิธีการและหลักการ  จะได้รู้ทันช่างที่ชอบแนะนำและพูดจาไม่ค่อยเคลียเรื่องแต่งเครื่องยนต์แล้วไม่กินน้ำมัน หรือประหยัดกว่าเดิม     
เอาแค่นี้ก่อน  เดี๋ยวว่างๆมาต่อ  ตอนต่อไป