(เครดิต ทีมที่ปรึกษา รั้วสังกะสี)ตอน9 -จูนเยอะ,จูนหนัก,จูนน้อยๆ,บูสไหล  เป็นอย่างไร , แล้วปัญหาเกิดจากอะไร  ***จูนเยอะ  จูนหนัก  จูนน้อยๆ  เป็นอย่างไร
   ***จูนเยอะ  จูนหนัก  จูนน้อยๆ  เป็นอย่างไรท้ายรางของเครื่อง pajero เรามีค่า limit แรงดันสูงสุดอยู่ที่   240 Mpa    ส่วนค่าแรงดัน peak ไม่ควรเกิน  220 Mpa    และแรงดันใช้งานออกแบบอยู่ที่ประมาณ 165-185 Mpa   ฉะนั้นด้วยเงื่อนไขตรงนี้จึงมีการออกแบบและกำหนดอุปกรณ์ที่เรียกว่าท้ายราง   โดยให้ทำการปลดปล่อยและคลายแรงดันที่ประมาณ 170-180 Mpa  เพื่อไม่ให้แรงดันในท้ายรางสูงเกินกำหนดจนได้รับความเสียหาย    ตรงนี้จะทำหน้าที่คล้ายๆกับเวสเกตที่ควบคุมปริมาณการ Boost ของเทอร์โบ  ที่แนะนำกันไปนั่นเอง 
สำหรับรถแต่ละคัน  การประกอบเครื่องยนต์แต่ละตัวมีผลกับประสิทธิภาพและแรงม้าด้วยในบางครั้ง  ฉะนั้นค่าที่วัดได้จริงจะไม่เท่ากันทุกคันเสมอไป  ส่วนของท้ายรางก็เช่นกันบางคันท้ายรางอาจจะเปิดที่แรงดัน  168 Mpa  บางคันไปเปิดที่แรงดัน 175   หรือบางคันดีหน่อยเปิดที่ 180 Mpa เลยก็มี   หรือบางคันแรกๆเปิดที่ 185  พอมาหลังๆ   ท้ายรางเปิดบ่อยๆอาจเปิดที่ 170 Mpa ก็เป็นได้   จึงจำเป็นต้องมีตัววัดค่าการสร้างและปั๊มแรงดันรางขึ้นมาใช้งาน 
ต่อมาทาง ผู้ใช้งานหรือนักจูนก็หาวิธีมาเล่นกับท้ายรางต่างๆ  เช่น หนุนท้ายราง  เพื่อให้เปิดที่แรงดันมากกว่า 170-180Mpa   หรือบางรายอุดท้ายรางไปเลยเพื่อให้สร้างแรงดันสูงสุดโดยควบคุมจากเกจวัดต่างๆกันเองก็มี และที่นิยมเล่นกล่องดันรางกันก็เพื่อหลอกให้กล่องสั่งปั๊มสร้างแรงดันให้มากกว่าเดิม  โดยกล่องหลงเชื่อจึงยอมสร้างออกคำสั่งให้ปั๊มสร้างให้ปล่อยไปที่ท้ายราง  ให้สูงๆ  และก็จะคลายแรงดันทิ้งตามการปรับแต่งท้ายรางว่าจะปล่อยทิ้งที่แรงดันเท่าไหร่  ตรงนี้แหละที่เรียกว่า  จูนหนัก  จูนเยอะ  จูนเบา  ก็คือปรับจูนหลอกให้สร้างแรงดันมากและปรับแก้ให้คลายแรงดันช้า   จูนเบา  จูนน้อย  ก็คือการหลอกให้สร้างแรงดันเพิ่มขึ้นเพียงหอมปากหอมคอเท่านั้น    ที่บอกว่า ค่าแรงดัน peak ไม่ควรเกิน  220 Mpaนั้น  คืออาจมีผลทำให้รางหัวฉีดทนแรงดันชั่วขณะไม่ไหว  อาจมีการร้าวหรือรั่วตามซีล  ประเก็นต่างๆ  จนทำให้แรงดันรั่วและรถหมดกำลัง  จนไปนอนอู่ในที่สุด  ฉะนั้นจะเล่นกันให้มันส์  ก็อย่าเกิน 200 Mpaครับ
***ทำไม Boost ไหล , แล้วปัญหาจากอะไร ( กรณีเวสเกตกระป๋องที่ติดรถมา)กลับมาที่เวสเกต หรือ
ประตูสู่ความหายนะ   การทำงานของมันได้รับคำสั่งเป็นแรงดันลมเฉยๆ  ทั้งดูดทั้งเป่า   ในตัวเวสเกต  จะมีชั้นผ้าใบคอยเป็นห้องกั๊กลมไว้   เมื่อเทอร์โบหมุนปั่นด้วยความเร็วก็จะสร้างแรงดันลมมาเป่าที่หัวเวสเกต   ส่วนอัตราการไหลต่อวินาที  หรือปริมาณการไหลไม่ขอพูดถึง  เอาเป็นว่าหากมีตัววัดที่เป็นค่า psi มาวัดก็จะอ่านค่าเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายกว่า   เท่าที่เคยได้คำตอบมาเขาบอกว่า ชั้นผ้าใบจะทำงานคล้ายผนังที่ยืดหยุ่นหรือคล้ายลูกโป่ง  ประมาณว่าหากมีแรงดันมากในช่วงเวลาอันสั้นจะดันจนให้ตัวและยืดหยุ่นได้ง่ายกว่า   การค่อยๆเพิ่มปริมาณความหนาแน่นของแรงลมที่มาดัน  ตรงจุดนี้เองที่บอกว่า boost peak คือมันจะไหลเพิ่มประมาณ 1-2 psi หากรถกำลังรีดแรง  หรือกำลังเค้นแรงมันเพื่อฉุดลาก  เช่นการขับรถที่มีน้ำหนักบรรทุก  หรือขับรถโดยการซัดขึ้นเขา Boost จะสูงกว่าปกติ   
อีกอาการหนึ่งก็คือความเสื่อมสภาพของชั้นผ้าใบในตัวเวสเกตก็มีผลเช่นกัน    และในการเล่น Boost สูงๆ  ยังอาจสร้างปัญหาจนเกิดอาการผ้าใบทะลุหรือขาดเพราะแรงดันมาก   คราวนี้แหละจะไม่มีชั้นลมมาสร้างแรงให้ชนะแรงสปริง   ผลก็คือเวสเกตไม่ยอมเปิดทางคลายแรงดันไอเสียทิ้ง   ทำให้เทอร์โบทำงานได้เต็มที่โดยไร้การควบคุม   Boost ก็สร้างได้มากขึ้นจนไปจบที่เท่าไหร่ไม่รู้    จุดตรงนี้เองที่บอกว่าจำเป็นต้องมี Boost Gauge เป็นตัว monitor การทำงานของเทอร์โบ   
อีกปัญหาหนึ่งก็คือ  การติดตั้งสายลมที่หัวเวสเกตไม่ดีพอทำให้ลมรั่ว   ทำให้Boost gauge ขึ้นน้อยเพราะลมมันรั่วแต่อีกทางหนึ่งเมื่อลมมันน้อย  เวสเกตก็นิ่งเฉยต่อการควบคุมประตูสู่ความหายนะ   จะมารู้อีกทีก็ทำไมวันนี้รถเราแรงดีเหลือเกิน  โดยไม่แอบแปลกใจเลยแม้แต่น้อย     แล้วหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นคือเสียง ? โบ๊ะ  พั๊ก  แค๊งค์ ?
ทั้งที่ Boost gauge ก็ขึ้นไม่สูง     แบบนี้คงจะแปลกใจไม่ใช่น้อย   คงทะเลาะกับร้านที่ทำให้ไม่จบแน่ๆ  
Note :ปัญหาพวกนี้  ไม่ได้กล่าวหรือพาดพิงถึงพวกเวสเกตแต่ง  เวสเกตแยก  Boost มือ  หรือโบอ๊อฟ นะครับ  เราคุยกันแบบฉบับ   ของเดิมเครื่องในเดิม   เพราะมากกว่านี้นั้นขั้นเทพไปแล้ว  ทฏษฎีพวกนี้คงพูดไม่ได้เต็มปากเพราะเทคโนโลยีเขารองรับและ Hardware engine เขาเตรียมมาดีสำหรับการนั้นโดย เฉพาะครับ ***แค่นี้ก่อนพบกัน  ตอนต่อไปครับ